กฐิน 44
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เหตุที่เกิดกฐินเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม มีธรรมะไง ธรรมะแล้วถึงได้สร้างเป็นธรรมวินัย ธรรมวินัยถึงบังคับให้มีองค์กฐินขึ้นมา วันนี้เป็นวันทอดกฐินนะ วันทอดกฐินของวัดสันติธรรมาราม ทอดกฐินนี่พระพุทธเจ้าวางบัญญัติไว้ไง บัญญัติให้มีกฐิน มีกฐินเพื่ออะไร? เพื่อความสามัคคีระหว่างปลากับน้ำ เห็นไหม พระนี่เหมือนปลาต้องอาศัยอยู่ในน้ำ ถ้าน้ำมันสะอาด น้ำมันบริสุทธิ์ ปลานั้นก็อยู่สะดวกสบาย
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าโยมบริสุทธิ์ โยมสะอาด โยมเข้าใจเรื่องศาสนา เรื่องกฐิน โยมเปรียบเหมือนน้ำ พระเปรียบเหมือนปลา ต้องอาศัยกัน สิ่งที่อาศัยกันนั้น กฐินแล้วถึงเป็นกฐินขึ้นมา สร้างองค์กฐินขึ้นมาเพื่อความสามัคคี ถ้าพระไม่ครบสงฆ์ก็มีกฐินไม่ได้ ถ้าพระไม่มีครบสงฆ์ขึ้นมาไม่มีกฐิน แล้วกฐินก็จะให้มีอยู่ในเดือนเดียว ๑ ปีทอดได้หนเดียวต่อวัดหนึ่ง เพราะผ้ากฐินนี้เป็นแค่ผ้า ทอดผ้ากฐิน ทอดผ้าลงไปในพื้นกฐิน กฐินหมายถึงว่าไม้สะดึงนั้น ทอดผ้าลงกฐินไป เพื่อให้ผ้านั้นได้เย็บ ได้ย้อม ให้ความสามัคคี เห็นไหม ศาสนานี่สอนเรื่องความสามัคคี เรื่องความเป็นอยู่ของพระนั้น
แล้วปลากับน้ำ ถ้าปลานั้น กฐินเป็นกฐินขึ้นมาเพราะกฐินนั้นเป็นอันว่าเป็นกฐิน ถ้ากฐินมันไม่เป็นอันกฐิน คือว่าไปขอมา ไปเรี่ยไรมา ไปเบียดเบียนเขามา เป็นไปไม่ได้ มันต้องให้ความศรัทธาของญาติโยมไง น้ำสะอาด น้ำบริสุทธิ์ อยู่ที่น้ำนั้น น้ำมีความศรัทธา น้ำนั้นมีความสะอาดบริสุทธิ์ ปลาก็อยู่สุขสบาย มันตรวจเช็คกันระหว่างพระกับโยม ว่าความอยู่ด้วยกัน องค์กฐินนั้นมันถึงสำเร็จเป็นองค์กฐินขึ้นมา
แล้วเป็นองค์กฐินขึ้นมาแล้ว พระขึ้นมาแล้ว พระต้องเย็บ เห็นไหม พอเสร็จแล้ว พอถวายผ้ากฐินเสร็จแล้ว พระต้องให้กรานกฐิน พระต้องตัด ต้องเย็บ ต้องย้อม ให้เสร็จภายในวันเดียว ความสามัคคีของพระนั้น พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ระหว่างความสามัคคีของคฤหัสถ์อย่างหนึ่ง น้ำกับปลาอาศัยกัน ศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง ถ้าน้ำกับปลาอาศัยกันไม่ได้ ศาสนาจะไม่เจริญรุ่งเรือง ความสามัคคีในสงฆ์นั้น ความเป็นอยู่ของสัตว์โลกนี่ น้ำกับปลา เห็นไหม
แล้วถ้าเขยื้อนมาในเรื่องของคน กายกับใจน่ะ กายกับใจมันสามัคคีกันไหม ถ้ากายกับใจสามัคคีกัน เราจะอยู่เป็นสุข ถ้ากายกับใจไม่สามัคคีกัน เราขัดข้องหมองใจ ร่างกายมันเป็นไปได้ แต่หัวใจมันขัดข้องหมองใจ หัวใจมันไม่บริสุทธิ์ หัวใจมันขัดข้องใจ นี่กายกับใจ ถ้ากายบริสุทธิ์ขึ้นมา กฐินนั้นก็บริสุทธิ์ขึ้นมา กฐินนั้นเป็นเพราะใจเป็นผู้ริเริ่ม ใจเราคิดใช่ไหม? ใจเราอยากทำมันถึงเป็นการกระทำขึ้นมา ถ้าใจเราไม่อยากทำ มันจะเป็นการกระทำขึ้นมาไหม?
นั่นน่ะย้อนกลับมาเรื่องกายกับใจ ถ้ากายกับใจนี่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องปลากับน้ำเพื่อสังคมของหมู่สงฆ์ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เพื่อความเป็นอยู่ของศาสนา สิ่งที่มีอยู่ ศาสนามีอยู่ คนสนใจมันก็เป็นการกระทำขึ้นมาได้ ถ้าศาสนามีอยู่คนไม่สนใจ ศาสนาก็เหมือนกับสักแต่ว่าศาสนา คนไม่สนใจในศาสนามีมากมายเลย กฐินก็เรื่องของคนที่ทอดกฐินสิ เรื่องของเราคือเรื่องการหาความสุขใส่ตัว...ความสุขของเขาไม่ใช่ความสุขใส่ตัวหรอก ความสุขของเขาเป็นความคิดของเขา
นี่กายกับใจ ถ้าใจมืดบอด ใจไม่สนใจในเรื่องของศาสนา จะไม่รู้จัก จะไม่เข้าใจเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าใจมันเปิดขึ้นมา ใจมันเปิดขึ้นมามันถึงจะเข้าใจเรื่องบุญกุศล เรื่องบุญกุศลก็เรื่องกายกับใจ ใจอยู่ในร่างกายนั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก การเบียดเบียนกัน การพูดกันให้มีความเบียดเบียน การพูดกันให้เจ็บปวดหัวใจนี่ พูดแล้วมันจะสะเทือนหัวใจมาก ความสะเทือนหัวใจมันจะให้ใจรุนแรงมาก เห็นไหม ความสะเทือนของใจมันจะให้ผลรุนแรงกับใจมาก เราตบตีกัน ความเจ็บปวดของร่างกายนี่ ชั่วครั้งชั่วคราวก็หายไป แต่ความเจ็บปวดของหัวใจอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ
ถ้าหัวใจมันบริสุทธิ์ขึ้นมา หัวใจมันดีขึ้นมา มันจะเป็นธรรมขึ้นมา นั่นน่ะสิ่งที่ละเอียดอ่อน สิ่งที่มีคุณค่าซุกอยู่ในร่างกายของเรานี่ ในร่างกายเห็นไหม ระหว่างปลากับน้ำ ถ้าน้ำมีออกซิเจนปลาอยู่สุขสบาย หัวใจเหมือนกัน ถ้าหัวใจบริสุทธิ์ หัวใจมีความคิดที่ดีขึ้นมา หัวใจสิ่งนั้นขึ้นมา การกระทำขึ้นมาก็เป็นสิ่งการกระทำขึ้นมา
มันถึงว่าถ้าใจเราคิดดี ทำคุณงามความดี เรื่องของศาสนา มีกฐินมาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมวินัยไว้ สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ทอดกฐินกันมา ทอดกฐินหมายถึงทอดผ้าผืนนั้นไง ผ้าผืนที่เราสละออกมาจากญาติโยม ให้พระด้วยการสามัคคีธรรมของพระนั้นทำเป็นบุญกุศลขึ้นมา ให้หมู่สงฆ์นั้นมีความสุขขึ้นไป
นี่ย้อนกลับมา ความละเอียดอ่อนนั้นมันหยาบขึ้นมา เห็นไหม ระหว่างปลากับน้ำ ระหว่างกายกับใจนี่ ถ้าใจมันบริสุทธิ์ขึ้นมา ใจมันเข้าใจขึ้นมา ใจมันมีความพอใจ ถ้าใจมีความพอใจ มันทำสิ่งนี้ได้ด้วยความอิ่มเอิบใจ ความอิ่มเอิบใจขึ้นมานี่ ใจมันสะดวกสบายขึ้นมา ทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นบุญกุศล เพื่อเป็นบาทฐาน ถ้ามีบาทมีฐานขึ้นมาใจจะมีที่พึ่ง ร่างกายหรือเราพึ่งพาอาศัยกันในโลก เห็นไหม ลูกก็พึ่งพาพ่อแม่ ปู่ย่าตายายพึ่งพาอาศัยกัน นี่เรื่องของโลก
แล้วใจมันพึ่งพาอาศัยใคร หัวใจนี่มันจะพึ่งพาอาศัยใคร มันจะหาใครเป็นที่พึ่ง หัวใจเรานี่ พ่อแม่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ อยากจะเจ็บแทนกันก็เจ็บแทนกันไม่ได้ เห็นไหม มันแทนกันไม่ได้ด้วยบุญกุศล ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยการเกิดมาของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นเกิดมาดีมีอำนาจวาสนา ใจดวงนั้นขึ้นมานี่ มันทำให้ร่างกายไม่ต้องเจ็บปวดเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าใจมันเจ็บไข้ได้ป่วยนี่มันเป็นเพราะสิ่งที่เราทำมา สิ่งที่เราทำมามันถึงแสดงออกมาอย่างนั้น
นี่ความที่ละเอียดอ่อนของใจมันอยู่ในร่างกายนี่ มันละเอียดอ่อนจนเราไม่สามารถมองเห็นได้ เราเป็นชาวพุทธ เราเข้าใจเรื่องของศาสนา เราเข้าใจสัจจะความจริง เราจะหาบุญกุศล เห็นไหม หาบุญกุศล หาที่พึ่งของใจ ที่พึ่งของร่างกายเขาพึ่งอาศัยกันได้แล้ว ที่พึ่งของใจเราต้องหาให้ได้ สิ่งที่จะหาให้ได้นี่ศาสนามีเพราะมีเรา เห็นไหม เรามีศาสนา เราจะเกิดมาไม่เกิดมา พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว วางธรรมไว้ ๕,๐๐๐ ปีนี่ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนากี่รอบ แล้วเราเข้าใจเรื่องศาสนาขนาดไหน ถ้าเราไม่เคยเกิดตายมาในศาสนานั้น เรื่องเราจะใฝ่ใจเรื่องนี้หาได้ยากนะ
การใฝ่ใจในเรื่องของศาสนานี้มันต้องมีพื้นฐานของใจ ลูกของเราบางคนขึ้นมานี่ก็สนใจเรื่องบุญกุศล เรื่องคุณงามความดี บางคนขึ้นมานี่เกกมะเหรกเกเร เห็นไหม นี่ใจของเด็ก เปรียบเทียบเอาแล้วกลับไปสังเกตดูลูกของเราเหมือนกัน มันเป็นการสะสมมาของที่ว่าใจเกิดใจตายมาในวัฏสงสาร
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเราตายในวัฏสงสารมาขนาดไหน แล้วเรามีที่พึ่งไหม มันน่าเห็นใจ เห็นใจ...ใจตัวเองนะ มันน่าจะเห็นใจใจของตัวเอง ใจของตัวเองมีที่พึ่งไหม บุญกุศลในกรานกฐินนี่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้ปีหนึ่งมีหนเดียวต่อวัดหนึ่ง มีหนเดียวหมายถึงว่า เป็นที่ว่าทุกคนต้องขวนขวาย ทุกคนพยายามแสวงหา สิ่งนั้นน่ะเป็นอย่างไร
มันเป็นความสามัคคีระหว่างสังคม บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สังคมในศาสนานั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา มันจะทำให้ศาสนานั้นเป็นที่พึ่งของใจ ใจที่ว่าเราพยายามค้นคว้ากันอยู่นี่ หาไม่เจอนี่ มันมีที่เกาะที่อาศัย ถ้ามันมีที่เกาะที่อาศัย มันเป็นมรรคอริยสัจจังเบิกทางไป เบิกทางของใจเข้าสู่สัจจะความจริง ถนนหนทางนี่เป็นเครื่องอยู่ เป็นที่เดินของรถรา แต่มรรคอริยสัจจังเป็นที่เดินของใจอยู่ที่ไหน
ถ้าใจมันหยาบขึ้นมา เรื่องกฐินก็ไม่เข้าใจ เรื่องบุญกุศลไม่เข้าใจ เรื่องมรรคไม่ต้องพูดกัน เรื่องมรรคในหัวใจมันจะเกิดขึ้นมาได้นี่ มันละเอียดอ่อนเข้ามาอย่างนั้น แล้วเราทำความสงบเข้ามา เห็นไหม พอใจเริ่มมีความเข้าใจเรื่องกฐิน เรื่องบุญกุศลขึ้นมานี่ ใจมันควรแก่การงาน ควรแก่การงานนี่มันจะจับต้องใจของตัวเองได้ พอจับต้องใจของตัวเองได้ นั่นคือสมาธิธรรมไง
ทำความสงบของใจคือใจมันพัก ใจมันพักผ่อนนะ พักจากอารมณ์โลกนี่ มันพักไปชั่วคราว อันนั้นคือทำความสงบ ทำความสงบบ่อย ๆ เข้าจนใจตั้งมั่น ใจตั้งมั่นใจนั้นควรแก่การงาน มรรคมันจะเกิดตรงนี้ มรรคอริยสัจจังจะเกิดตรงที่ว่าใจเริ่มตั้งมั่น ใจเริ่มจะควรแก่การงาน แล้วทำงานการชำระกิเลสไป แล้วจะซึ้งในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ้งในทาน ศีล ภาวนาไง
ซึ้งในทาน มีทานก่อนถึงมีศีลใช่ไหม มีศีลแล้วมีภาวนาขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงนั้น แล้วก็วางหลักการให้เราเดิน สิ่งนี้ถึงไม่ใช่สิ่งที่ต่ำต้อย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เครื่องดำเนินเข้าไป เพียงแต่เราจะดำเนินได้ขนาดไหน มันเป็นอำนาจวาสนาของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีอำนาจวาสนา ใจดวงนั้นจะดำเนินเข้าไปได้มาก
ใจของแต่ละดวงน่ะเปิดให้กว้าง เปิดหัวใจของตัวเอง เปิดเจตนาของตัวเอง ถ้าใจมันเปิดขึ้นมานี่มันจะเปิดเข้าได้ ถ้าใจเราคิดว่าเรารู้แล้ว ชาล้นถ้วย น้ำเต็มถ้วยชานั้น ธรรมะจะไม่เข้าถึงใจดวงนั้นเลย ความเห็นของเราเป็นความเห็นของเรา ความเห็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะสะอาดบริสุทธิ์ แล้วความเห็นของเราเต็มไปด้วยกิเลส เหมือนกับน้ำล้นถ้วย เรื่องสัจธรรมจะเข้าไม่ถึงใจของตัวเอง
แล้วก็ว่าตัวเองตัวรู้ไง ตัวเองรู้แต่ตัวเองปลดเปลื้องความทุกข์ความข้องใจไม่ได้ ถ้าตัวเองเข้าใจนี่ความเข้าใจในธรรม ธรรมนั้นเหมือนธรรมโอสถ ธรรมโอสถจะเข้าไปรักษาใจ รักษาใจของตัวเอง รักษาสิ่งที่ว่าปลดเปลื้องน่ะ ปลดเปลื้องความทุกข์ในหัวใจได้ ปลดเปลื้องสิ่งที่เกาะเกี่ยวในหัวใจ ความปลดเปลื้องอันนั้นน่ะ นี่มรรคเกิดไง งานชอบในศาสนา งานของโยมนี่การหามา การหาวัตถุข้าวของมาเป็นงานอันใหญ่
นี่การทำความสงบของใจเป็นงานส่วนหนึ่ง การสร้างสมาธิขึ้นมาในหัวใจนี่เป็นงานอันหนึ่ง การสร้างปัญญาขึ้นมาน่ะปลดทิ้งไปเลย การสร้างปัญญาขึ้นมานี่มันยิ่งขนาดไหน ปัญญาของโลกเป็นโลกียะ เป็นปัญญาในการเบียดเบียนกัน เป็นปัญญาในการเอารัดเอาเปรียบ เอารัดเอาเปรียบกันนี่ปัญญาเอาตัวรอด
แต่ปัญญาของในศาสนานี้ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเอาหัวใจรอด หัวใจที่ละเอียดอ่อนอยู่ในร่างกายนี่ ที่เราไม่เห็นมันน่ะ มันสามารถเข้าไปจับต้องสิ่งนั้น แล้วเอาสิ่งนั้นใคร่ครวญธรรมะขึ้นมา ใคร่ครวญจนปลดเปลื้องออกไปจากใจได้ สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ปลดเปลื้องออกไปจากใจ ถึงเป็นที่สุด เป็นที่ปรารถนา เป็นที่พึ่งของศาสนาจริง
ศาสนานี้จะพึ่งตรงนี้ เราถึงว่าทำบุญกุศลนี้เป็นบุญกุศล เกิดจากตรงนั้นมันถึงมีกฐินไง ถึงได้วางหลักกฐินขึ้นมา เราทำกฐินขึ้นไปก็เพื่อจะเข้าเหตุนั้น เราถึงต้องทำกฐินนี่เป็นงานใหญ่ มันเป็นแค่หลักของทาน ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม กฐินน่ะเป็นเครื่องเบิกทาง เป็นพื้นฐาน เป็นสิ่งที่การก่อสร้าง สิ่งที่เป็นตอม่อ สิ่งที่เป็นหลักโครงสร้างอยู่ในดินน่ะมีค่ามหาศาล ทานนี่ปูพื้นใจเข้าไป ปูพื้นของใจเข้าไปเป็นตอม่อขึ้นมา
มีทานขึ้นมาแล้ว พอมีทานขึ้นมานี่มันมีความละอายเอง คนเราทำคุณงามความดีนี่ จะทำความคิดผิด ๆ ไปนี่มันจะละอาย อันนั้นคืออธิศีล ศีลเกิดจากหัวใจ เกิดจากความคิดผิด เกิดจากความดำริที่จะคิดผิด อันนั้นน่ะเป็นอธิศีล ศีลจะเกิดขึ้นมาจากเรามีทานขึ้นมาแล้วมันเข้าใจเรื่องของทาน แล้วจะเริ่มมีศีลขึ้นมา แล้วพอมีศีลขึ้นมามันจะเห็นความสงบของใจโดยธรรมชาติของมัน เห็นความสงบขึ้นมา แล้วถ้านอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ติดความสงบนั้น ต้องยกขึ้นวิปัสสนาเข้าไปจนกว่ามันจะหลุดพ้นออกไป อันนั้นเป็นเป้าหมายของศาสนา ศาสนาสอนตรงนั้น สอนเรื่องของใจ ใจเท่านั้น
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มาทำบุญวันนี้ หัวใจคิดก่อนมันถึงมาได้ มีความดำริจากใจว่าอยากจะไปทำบุญกุศล หัวใจดึงร่างกายมานั่งอยู่นี่ สิ่งที่มานั่งอยู่นี่เพราะความคิดมันดึงมา ตัวเองมาไม่ได้ถ้าตัวเองไม่ได้คิดอยากมา นี่ใจถึงสำคัญขนาดนั้น ใจสำคัญแต่ใจไม่มีทางเดิน ไม่มีทางเดินจนจะต้องมาเตาะแตะไง มาทาน มาศีล มาภาวนากัน เพื่อจะเอาทางของใจ สำหรับดวงใจทุก ๆ ดวงใจดวงนั้น
ดวงใจดวงนั้นจะมีที่พึ่งมีที่อาศัย แล้วจะไปตามอำนาจวาสนา พ้นจากทุกข์ ทุกข์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ทุกข์ในหัวใจที่มันเร่าร้อนอยู่นี่พ้นไปได้ ทุกข์เกิดขึ้นมา ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ต้องดับไป สิ่งที่มีเหตุมีผลทำลายอันนี้ได้ ทำลายความทุกข์ในหัวใจนี้ได้เด็ดขาด จากทาน จากศีลภาวนานี่แหละ จากการทำกุศลนี่แหละ มันจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปได้นี่เป็นบุญของเรา
นี้เป็นการเทศน์ก่อนกฐินไง เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของกฐิน เพื่อให้เห็นอานิสงส์ว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป ทำต่อไปเพื่อให้มีเจตนา จนตั้งมั่น มันจะได้เป็นบุญกุศลของเราโดยธรรมชาติ เอวัง